เรื่องของเมล็ดกาแฟ Arabica (อาราบิก้า) และ Robusta (โรบัสต้า)

เรื่องของเมล็ดกาแฟ Arabica (อาราบิก้า) และ Robusta (โรบัสต้า)

เมล็ดกาแฟมีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ Arabica (อาราบิก้า) และ Robusta (โรบัสต้า) สำหรับ Arabica นั้น มักจะนำไปผลิตกาแฟที่มีคุณภาพสูง ขณะที่ Robusta นั้นคุณภาพด้อยกว่าและถูกกว่า ส่วนใหญ่จะนำไปผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป

อาราบิก้า เป็นสายพันธุ์ที่หาได้ยากกว่าโรบัสต้า การปลูกและดูแลยุ่งยากมากกว่าโรบัสต้า เจริญเติบโตช้า ให้ผลผลิตน้อย ทำให้ต้นทุนการเพาะปลูกสูง ส่วนใหญ่จะพบเห็นสายพันธุ์นี้ได้ที่บริเวณภาคเหนือของไทย

โรบัสต้า เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม การเพาะปลูกกาแฟสายพันธุ์นี้ถือว่าดูแลได้ง่าย เจริญเติบโตเร็ว ทนแดด ทนฝน ให้ผลผลิตมาก ส่วนใหญ่จะพบเห็นสายพันธุ์นี้ได้ที่บริเวณภาคใต้ของไทย

ความแตกต่างของรสชาติสองสายพันธุ์นี้

  • อาราบิก้านั้นจะมีกลิ่นที่หอม หอมมากกว่าโรบัสต้า รสชาตินุ่ม ละมุน และ อาราบิก้ามีคาเฟอีนน้อยกว่าโรบัสต้า อาราบิก้าเหมาะสำหรับการทำเป็นกาแฟคั่วบด
  • โรบัสต้านิยมนำมาใช้ทำเป็นกาแฟสำเร็จรูป รสชาติจะออกขมและเข้ม มีคาเฟอีนสูงมากกว่า 2 เท่า และที่สำคัญจะมีรสชาติอมเปรี้ยวเล็กน้อย

เมล็ดกาแฟเมื่อผ่านการคั่วแล้วเปลี่ยนแปลงอย่างไร ?

เมล็ดกาแฟที่คั่วแล้ว จะมีลักษณะแตกต่างไปจากเมล็ดกาแฟดิบอย่างชัดเจน โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

  • การสูญเสียน้ำหนักแห้ง เนื่องจากการสูญเสียความชื้น และส่วนของเยื้อหุ้มเมล็ดที่เปลี่ยนสภาพและหลุดออกไป เมล็ดกาแฟดิบก่อนคั่ว จะมีระดับความชื้นประมาณร้อยละ 12-13 เมื่อคั่วแล้ว น้ำหนักรวมทั้งสิ้นจะลดลงประมาณร้อยละ 15-20
  • การขยายขนาดของเมล็ดกาแฟ เมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการคั่วแล้วจะมีขนาดใหญ่ขึ้นร้อยละ 40 – 70
  • การเกิดสีน้ำตาลบนผิวเมล็ด ความร้อนจะทำให้เมล็ดกาแฟเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มที่ผิวของเมล็ด

กระบวนการก่อนที่จะกลายมาเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว มีขั้นตอนคือ

  • การเก็บเมล็ดกาแฟที่สุกเต็มที่ โดยใช้มือเก็บ
  • การคัดเมล็ดกาแฟที่สุกและไม่สุก แยกออกจากกัน
  • การแยกเปลือก และ เมล็ดกาแฟ
  • การหมักเมล็ดกาแฟ เพื่อกำจัดชั้นเมือก ที่เกาะอยู่ที่เมล็ดกาแฟ
  • การล้างทำความสะอาดเมล็ดกาแฟ ใช้น้ำบริสุทธิ์คุณภาพสูง กำจัดกากที่เกิดจากการหมัก
  • การตากเมล็ดกาแฟให้แห้ง เพื่อให้ได้เมล็ดดิบของกาแฟ